‼️ รู้หรือไม่ว่า..การขู่ลูกให้กลัว ‼️
ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้กลัว และส่งผลต่ออนาคตให้กลายเป็นคนขี้กังวล แน่นอนว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะการที่ลูกเชื่อฟังในตอนแรกจะมาจากความหวาดกลัวในคำขู่ต่าง ๆ ซึ่งทำให้ส่งผลต่อการลำดับความคิดของเด็ก และยังเป็นการปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อ การดำเนินขีวิตและขัดขวางพัฒนาการของลูกน้อย ทำให้ลูกจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ เนื่องจากโดนความกลัวจากการขู่ครอบงำ
ดังนั้น เหล่าคุณพ่อแม่ควรสื่อสารด้วยการ บอกเหตุและผลที่สอดคล้องแทนการขู่ให้กลัว เพื่อเด็กจะได้มีการพัฒนาการทางสมองในเรื่องภาษาและการเรียนรู้ที่ดีตามไปด้วย
“ขู่ลูก” ส่งผลเสียอย่างไร
รู้หรือไม่ว่า การขู่หรือการดุลูก ส่งผลเสียต่อพฤติกรรมของลูกน้อย และปลูกฝังนิสัยที่ไม่ดีกับความเชื่อผิด ๆ ให้กับลูกน้อยได้ เช่น
- บั่นทอนจิตใจ
- สร้างนิสัยก้าวร้าว
- ไม่กล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (มักติดอยู่ใน Safe zone)
- ไม่เชื่อมั่นในตัวพ่อแม่
- ไม่มั่นใจในตัวเอง
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจผลเสียของการขู่ ดุ ด่า และมาดูวิธีเลี่ยงการกระทำเหล่านี้กันค่ะ
ก่อนนอน (ผีจะมาหลอก...ถ้ายังไม่นอน)
จะทำให้ลูกเกิดอาการหวาดกลัว และไม่กล้าอยู่คนเดียวในเวลากลางคืน ซึ่งจะไม่รู้เหตุผลจริงๆว่า ทำไมถึงต้องรีบนอนในเวลากลางคืน เนื่องจากเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อน ดังนั้น พ่อแม่ควรสื่อสารโดยการบอกเหตุและผลกระทบของการนอนดึก แทนการขู่ลูกให้กลัว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหนูนอนดึก จะทำให้พรุ่งนี้เช้าหนูจะตื่นไปโรงเรียนไม่ทัน
พาไปหาหมอ (ถ้าดื้อจะโดนฉีดยา)
ส่งผลให้ลูกน้อยเกิดอาการกลัวหมอ ในกรณีที่ลูกเกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมา ส่งผลกระทบให้คุณหมอทำงานได้ยากขึ้น เนื่องจากลูกน้อยปฏิเสธการรักษาหรืออาละวาดเพราะว่ากลัวหมอ ซึ่งอาจทำให้อาการป่วยหายช้าลงก็เป็นได้…
เหล่าคุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า
งานบ้านช่วยให้ลูกได้ทั้ง IQ, EQ และ SQ
การให้ลูกช่วยงานบ้านเล็ก ๆน้อย ๆ เช่น ตากผ้า พับผ้า ล้างจาน เป็นต้น
ลูกจะได้รับความฉลาดทางปัญญา (Intelligence Quotient-IQ), ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient-EQ) และความฉลาดทางสังคม
(Social Quotient-SQ) แต่เอ๊ะ…แล้วมันช่วยอย่างไร⁉️
🔶 ความฉลาดทางปัญญา หรือ IQ
เริ่มต้นเมื่อลูกได้รับมอบหมายให้ทำงานบ้าน
เริ่มแรกลูกจะยังไม่รู้วิธีหรือขั้นตอน
จนกว่าคุณพ่อคุณแม่จะแนะนำและให้ลูกได้ลงมือทำ
ลูกจะเรียนรู้ว่าอะไรควรทำก่อนหรือหลัง และการวางแผน
ว่าจะทำอะไร หรือต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
🔶 ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ
เนื่องจากที่ลูกยังเด็ก ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่
กิน เล่น และนอน แต่เมื่อเขาต้องมารับผิดชอบงานบ้าน
ซึ่งแรก ๆ ลูกอาจจะรู้สึกสนุก แต่นาน ๆ ไป
อาจจะทำให้เริ่มเบื่อและไม่รู้สึกสนุกที่จะทำต่อไป
แต่…เมื่อเขาได้ทำงานบ้านจะทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง
และจัดการวางแผนงานเพื่อให้งานเสร็จลุล่วงไปด้วยดี
🔶 ความฉลาดทางสังคม หรือ SQ
เมื่อลูกเรียนรู้ว่ามีอีกหนึ่งหน้าที่ในชีวิตที่เขาต้องทำคือ
การช่วยงานบ้าน สิ่งนี้จะทำให้เขาเข้าใจและ
เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพราะเค้าเคยผ่านงานดังกล่าวมาก่อน
และที่สำคัญลูกจะรู้จักวิธีการเข้าหาคนอื่นด้วยวิธีที่เหมาะสม
.
ถ้าอย่างนั้น เรามาเช็คลิสต์ 7 ข้อดี ของการที่เด็ก ๆ ช่วยทำงานบ้านกันดีกว่าค่ะ
ช่วยพัฒนาระบบความคิดและการวางแผน
หลายครั้งที่งานบ้านบางอย่าง…
บูลลี่ในเด็ก ปัญหาสำคัญของสังคมไทยที่เด็กถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง
ปัญหาสังคมในวัยเด็กที่มักพบเจอคือการกลั่นแกล้งกันเองในห้องเรียน หรือที่เรียกกันว่า บูลลี่ ซึ่งพ่อแม่ทุกคนมักเป็นกังวล เวลาส่งลูกเข้าโรงเรียน กลัวว่าลูกจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม และหากถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง ลูกจะสามารถรับมือได้หรือเปล่า
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรมองข้าม เนื่องจากเด็กที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ บ่อยครั้งจะสร้างรอยแผลทางจิตใจ กลัวการไปโรงเรียน และไม่อยากเข้าสังคม สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้เพื่อปกป้องลูกน้อย คือต้องทำความเข้าใจ และหาวิธีจัดการเมื่อลูกน้อยถูกกลั่นแกล้ง
ลักษณะของการถูกกลั่นแกล้ง
- ด้านคำพูด เช่น ข่มขู่ ล้อเลียนปมด้อย ดูถูก หรือตะคอกเสียงดัง
- ด้านร่างกาย เช่น การเล่นรุนแรง ผลักกันหกล้ม หยิก ตี ต่อย เตะ ทำลายข้าวของเสียหาย
- ด้านสังคม เช่น ข่มขู่ บังคับหรือกีดกันเพื่อนออกจากสังคม ใส่ร้ายกัน
ผลกระทบจากการถูกกลั่นแกล้ง
- สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับลูก
- กลัวการไปโรงเรียน กลัวการเข้าสังคม มีเพื่อนน้อย
- เกิดเป็นปมด้อย กลายเป็นเด็กพูดน้อย เก็บกด
- เสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า ต่อต้านสังคม หรือ อาจมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง
สิ่งที่บ่งบอกว่าลูกน้อยถูกรังแก
- เก็บตัวเงียบ
- ไม่อยากไปโรงเรียน…
การเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นเด็กที่ไม่ดื้อ ไม่ซนนั้นก็สำคัญแต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือการสอนลูกให้มองโลกในแง่บวกมากยิ่งขึ้น ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งมีเรื่องให้คิดไม่ตกเยอะขึ้น ถ้าลูกของเราโตมาเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวก ปัญหาที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นปัญหาแบบไหนเด็กย่อมสามารถรับปัญหานั้นได้ด้วยตัวเองแน่ๆ วันนี้เราจึงอยากจะมานำเสนอเทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อสอนลูกของเราเป็นเด็กที่คิดในแง่บวก ไปดูกันเลยดีกว่า
1. สอนลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
การไม่ปิดกั้นความคิดของเด็กๆ จะยิ่งช่วยให้เด็กสามารถค้นหาตัวเองได้ดีขึ้น การเป็นตัวของตัวเองนั้นทำให้ตัวเด็กรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น การสอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รักในสิ่งที่ตนเองเป็น พอใจในสิ่งที่ตนมีทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีและแง่บวกมากขึ้น
2. เปิดโอกาสให้ลูกคิด
ความคิดสร้างสรรค์ในวัยเด็ก เป็นอะไรที่ไม่ควรปิดกั้นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้เด็กอึดอัดที่ไม่ได้แสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ การที่เราหวังดีมากจนเกินไปจนกลายเป็นการบังคับทำให้เด็กไม่ได้คิดอะไรด้วยตัวเอง จะทำให้เด็กเริ่มมองสิ่งต่างๆดูแย่มากขึ้น เพราะฉะนั้นเทคนิคของนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เด็กคิดในแง่ดีมากยิ่งขึ้น
3. สร้างรอยยิ้มสู้ปัญหา
การยิ้มคือการแสดงความสุขออกมา นอกจากจะยิ้มเวลาที่เรารู้สึกดีแล้วยังทำให้คนอื่นที่เห็นรู้สึกดีตามไปอีกด้วย
4. สอนให้ลูกคิดในแง่ดี
ลองให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นออกมาในแต่ละสถานการณ์ และสอนลูกๆของเราว่าความคิดไหนจะส่งผลอะไรบ้าง ให้เด็กได้เรียนรู้ว่าความคิดแบบนั้นเป็นแง่ลบหรือแง่ดี ถ้าความคิดของลูกเป็นไปในแง่ที่ไม่ดี เราจะได้สามารถสอนลูกของเราได้ว่าการคิดในแง่ดีนั้นเป็นอย่างไร
5. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
สิ่งสำคัญของการสอนลูกของเราคือ การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก แน่นอนว่าลูกของเราจะเลียนแบบพฤติกรรมของเราอย่างแน่นอน ถ้าเราคิดในแง่ร้ายและทำแต่สิ่งร้ายๆ เด็กก็จะติดมันไปด้วย แต่ถ้าเราเป็นแบบอย่างที่ดี เลือกทำแต่สิ่งที่ดีๆ แน่นอนว่าลูกของเราจะต้องทำตามอย่างแน่นอน ^^